Bhavana Homestays บ้านภาวนา

30 August 2010

เบื้องหลังบ้านภาวนา

เบื่องหลังบ้านภาวนา

ในช่วงระหว่างปลายปี 2540 ถึงต้นปี 2541 ได้เกิดปรากฏการณ์วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในประเทศไทย อันเกิดจากการไม่มีวินัยในการเงินของทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ทำความเสียหายให้ทั้งกับระบบเศษฐกิจของประเทศไทยตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้  เหตุการณ์นี้ทำให้ผมสำนึกและฉุกคิดได้ว่าผมควรที่จะศึกษาและพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ มีความรู้ความสามารถในการทำมาหากิน มีชีวิตอยู่รอดอย่างสุขสบายในโลกไร้พรมแดนที่ซับซ้อนแข่งขันสูง ในปีเดียวกันนั้นผมจึงเข้ารับการศึกษาในระดับปริญญาโท หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตสำหรับนักบริหาร และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับความรู้ทางด้านธุรกิจเพื่อที่จะได้พัฒณาตนเองให้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการขององค์กร ตลอดจนภาคธุรกิจที่ผมทำงานอยุ่ ผมสำเร็จการศึกษาบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตในปี 2543 หลังจากนั้นผมได้เข้าทำงานพร้อมข้อเสนอที่ดีจากบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ  จากตำแหน่งหน้าที่การงานและผลงานดีของผมทำให้ผมเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงการธุรกิจที่ผมทำอยู่ แต่ตัวผมมิได้หลงระเริงและยึดติดกับตำแหน่งหน้าที่การงาน หน้าตาทางสังคมเพราะลึกๆแล้วผมทราบมาตลอดว่าทุกอย่างไม่เที่ยง และผมก็ไม่ได้มีความสุขมากมายเท่าไหร่นัก เพราะผมต้องทำงานหนักและไม่มีเวลาให้กับตัวเองและครอบครัวมากนัก

การที่ผมเป็นคนต้องการความสมบูรณ์แบบในทุกอย่างในทุกด้าน (Perfectionist)  ทำให้ผมเป็นคนเจ้าระเบียบ การวางแผนอย่างรอบคอบ และให้ความคาดหวังกับความสำเร็จสูง ทำให้ผมมีความลำบากในการร่วมงานและใช้ชีวิตกับคนรอบข้างที่ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่วางแผน แต่ผมก็จะไม่แสดงความไม่พอใจออกมาแต่จะเก็บไว้ในใจตลอด ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ผมเกิดความเครียดจากการทำงาน ในปลายปี 2543 ภรรยาของผมซึ่งเป็นคาทอลิกได้ขอร้องแกมบังคับให้ผมเข้าอบรมปฏิบัติธรรมในหลังสูตรพัฒนาจิตเป็นเวลา 8 วัน 7 คืน ซึ่งเธอได้มีโอกาสเข้าปฏิบัติธรรมมาก่อน เธอบอกผมซึ่งเป็นชาวพุทธโดยกำเนิด ว่าการทำบุญรักษาศีลอย่างเดียวไม่พอต้องเจริญสติด้วย ผมยอมไปเพราะกลัวเสียหน้าการเป็นชาวพุทธประกอบกับได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีของเธอหลังจากการปฏิบัติธรรมของเธอ เธอใจเย็นและมีเหตุผลมากขึ้นทำให้ครอบครัวมีความสุขขึ้น  หลังจากการอบรมในครั้งนี้ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเช่นกัน ทัศนะคติในการใช้ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปในทางที่ดี ผมเลิกสูบบุหรี่และเลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด ผมตั้งสัจจะว่าจะดำรงชีวิตอยู่ในความไม่ประมาทและรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ผมได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมะหรือกฏของธรรมชาติแห่งความเป็นจริงในโลกนี้หลายประการ เช่น กฏแห่งกรรมคือการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว การกระทำของเราทุกอย่างล้วนกระทบต่อกายและใจและกระทบโลกด้วย และกฏแห่งการเปลี่ยนแปลง คือธรรมทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยงเพราะเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นทุกข์เพราะถูกบีบคั้น ไม่ใช่ตัวตนเพราะบังคับไม่ได้ หลังจากนั้นผมโชคดีได้มีโอกาสศึกษาธรรมะกับครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานที่ตรงกับจริตของผมทำให้ผมสามารถเจริญสตินอกรูปแบบในชีวิตประจำวันอย่างเป็นธรรมชาติและมีความสุขในการอยุ่กับทุกข์ ยอมรับความไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงอย่างมีความสุข เข้าใจว่าทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นของชั่วคราวและยึดถือไม่ได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมตั้งใจเพียรเจริญสติภาวนา เพื่อที่จะให้จิตเกิดปัญญาที่แท้จริงจนจิตเห็นและยอมรับความเป็นจริงของธรรมชาติโดยสดุดี ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับการเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่เนืองๆ มากกว่าการมีความสุขจากความสำเร็จในหน้าที่การทำงาน ผมตระหนักดีว่าปริญญามหาบัณฑิตช่วยให้ผมได้ทำงานที่ดี มีรายได้สูงแต่ไม่ได้สอนให้ผมมีศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขท่ามกลางความทุกข์และความเปลี่ยนแปลง ส่วนการศึกษาและการปฏิบัติธรรมช่วยให้ผมรู้เท่าทันและอยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข ผมปฏิญาณตนว่าจะตั้งใจเพียรภาวนาปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชาและอาจาริยบูชาต่อพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ไปตลอดชีวิต

ในปี 2550 ครอบครัวเราได้เจอกับบททดสอบที่สำคัญ ภรรยาของผมไม่สบายต้องเข้ารับการผ่าตัดทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ผมประหลาดใจและยินดีมากที่เธอใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการทำใจและยอมรับความทุกข์ทางกาย แต่ทางใจนั้นเธอมีสติอยู่กับความทุกข์ทางกายอย่างสงบ เธอยอมรับว่าเธอโชคดีมากๆที่ได้รับการศึกษาและปฏิบัติธรรมมาก่อน จากเหตุการณ์นี้ทำให้เรามั่นใจในการปฏิบัติธรรมมากขึ้นนอกจากนั้นเราได้เรียนรู้ว่าโรคต่างๆโดยเฉพาะโรคมะเร็งเกิดจากวิถีการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้องของเราโดยเฉพาะชาวเมืองใหญ่ๆ เราทำร้ายตัวเองจากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบในเมือง จากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารพิษ จากการมุ่งแต่ความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน แต่เราลืมให้ความสำคัญทางจิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายนี้ พี่ชายของภรรยาผมได้มอบที่ดินผืนสวยบนเนินเขา ตรงกันข้ามกับเขาใหญ่ให้เราได้สร้างบ้านเอาไว้พักผ่อนในวันหยุด ที่ดินผืนนี้อยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ซึ่งเป็นมรดกโลก และองค์การนาซ่าได้จัดอันดับว่าเป็นแหล่งที่มีโอโซนหนาแน่นเป็นอันดับ 7 ของโลก

ต่อมาในปี 2551ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดจากธุรกิจซับไพร์มที่สหรัฐอเมริกา ประกอบกับการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง และการปิดสนามบินสุวรรณภูมิในเดือนธันวาคม ทำให้เศรษฐกิจในประเทศไทยตกต่ำและกระทบกับภาคธุรกิจอย่างที่สุด บริษัทที่ผมทำงานอยู่ได้ขอให้ผมออกจากงานโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจ ผิดหวังและเสียใจมากนักเพราะผมทราบดีว่าทุกอย่างไม่เที่ยง และผมก็ต้องออกจากงานอยู่ดีไม่ช้าก็เร็ว ผมโชคดีมากที่มีโอกาสเรียนรู้ ศึกษาและเข้าใจธรรมะ เข้าใจความจริงของธรรมชาติ ทำให้ผมยอมรับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติและสงบ ในเย็นวันเดียวกันนั้นภรรยาผมโทรมาบอกผมว่าที่ทำงานเธอก็มีปัญหาเช่นกันเจ้านายเธอให้เธอเลือกระหว่างเปลี่ยนตำแหน่งหรือเปลี่ยนงาน (คือการออกไปหางานใหม่เอง) ทำให้ผมอดขำและหัวเราะออกมาไม่ได้ ผมบอกเธอว่าเธอโชคดีมากที่ยังมีโอกาสได้เลือกส่วนผมไม่มีตัวเลือกเพราะต้องออกสถานเดียว ทำให้เราสองคนหัวเราะกันใหญ่จากการเห็นความไม่เที่ยงท้ามกลางความประหลาดใจของคนที่รู้ข่าวนี้ ทุกคนเสียใจกับเราแต่ผมกลับคิดมันในแง่บวกว่า ดีซะอีกที่ผมตกงานจะได้มีเวลาสร้างบ้านตากอากาศที่เขาใหญ่ ผมจึงตัดสินใจใช้เงินจากการขายบ้านที่สองในชานเมืองกรุงเทพมาเป็นค่าสร้างบ้านพักผ่อนที่เขาใหญ่

ภาวนาเป็นคำบาลีและสันสกฤตซึ่งมีความหมายทางพุทธศาสนาว่าการพัฒนาหรือการทำให้เกิดประสิทธิผล ปกติจะใช้เชื่อมต่อกับคำอื่นเช่น จิตตะภาวนา คือการพัฒนาจิต เป็นต้น  บ้านภาวนาได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกิจวัตรประจำวันของครอบครัวเรา เช่น การไหว้พระสวดมนต์ การเดินจงกรม การออกกำลังกาย (โยคะ/ไท้เก๊ก) อ่านหนังสือธรรมะ ฟังธรรมะบรรยาย ทำสวนพผักปลอดสารพิษเป็นต้น บ้านภาวนาจะเป็นสถานที่อยู่อาศัยสำหรับผมในบั้นปลายของชีวิต ผมมีความสุขกับบ้านนี้มากเพราะอากาศดี วิวสวย ธรรมชาติสมบรูณ์ ครูบาอาจารย์สอนผมว่าเมื่อเราภาวนาในสถานที่สัปปายะ เราก็จะมีความสุข จิตเราก็จะเป็นกุศลทำให้ง่ายต่อการปฏิบัติธรรมของเรา บ้านภาวนาจึงเป็นสถานที่ที่สับปายะสำหรับการภาวนาของเรา เรารู้สึกขอบคุณและดีใจที่ได้ปฏิบัติตามความฝันของเราและต้องการแบ่งปันสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มีความสนใจเหมือนเรา

สำหรับผู้มาปฏิบัติธรรม
วันนี้คุณได้ที่พักและอาหารจากน้ำใจผู้อื่น และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ที่พักและอาหารฟรีบ้าง ขอเชิญคุณบริจาคตามกำลังศรัทธา อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

For reservation, please contact:
คุณหมี 08.646.3590  | v.songjarone@gmail.com
คุณโด่  09.3124.5945 | c.songjaroen@gmail.com
            


21 August 2010

Baan Bhavana Background

This story is how events in my life led me to create the Baan Bhavana facility and its importance in many lives.

During 1997 the Asian financial crisis (Tom Yam Kung) started in Thailand was caused by monetary indiscipline.  It was at this time I thought that I needed to develop and educate myself for a better qualification so that I could survive in this more complicated world. In 1999 I undertook a two-year course, an Executive MBA.      I hoped that I could gain the business knowledge and improve my working ability and life skills. I graduated with an MBA in 2001 and secured a respected job in an international firm, but I was not happy as I expected.

During 2001 my wife insisted I attend a 7-day Vipassana (Insight Meditation) course. The course changed me; I quit smoking and drinking and I learnt the nature of the truth and saw things in a new light. Since then I have been practicing insight meditation and try to use the Buddhist theory of mindfulness whenever I can.  I realized that the MBA helped me secure employment to make a living, but it did not teach me the art of living in the spiritual world.  I am now continuing to practice insight meditation and seeing the happenings of the world as phenomena of nature.

In 2007, my wife had an operation and she suffered considerably from the medical treatments. She is a Catholic, but has been learning and practicing Vipassana (Insight Meditation) daily. Because of this she has handled the pain well and dealt with the suffering in a very calm manner. During my wife’s hospitalization I learnt that the illness is caused by the modern ways of living and our lifestyles. I also learnt that city lifestyle is not good for our health.  It was a fortunate that my brother in law shared part of his beautiful piece of land and I was able to build a vacation home at Khao Yai, where the world heritage Khao Yai National Park is located. According to the NASA ozone map, this area is ranked no. 7 in the world for the high content of oxygen.

In 2008, the sub-Prime crisis caused an economic downturn in the US. After the Yellow Shirt protests at the Suvarnabhumi Airport in December 2008, I was asked to leave the company. This did not upset me as I knew that I would leave the company sooner or later. I was lucky that I’d learnt and understood the nature of truth; I accepted this change with calmness.  I thought it was positive that I was out of a job because I had the time to build a family vacation home at Khao Yai.   Therefore, I sold my house in Bangkok and build a vacation home in Khao Yai in mid 2009.

Bhavana is a Pali and Sanskrit word which literally means development, becoming cultivated and productive within the concept of Buddhist practice.  The word Bhavana normally appears in conjunction with another word forming a compound phrase such as Citta-Bhavana (the development or cultivation of the heart/mind). At Baan Bhavana we like to develop and practice mindfulness and insight meditation. The retreat was built to accommodate our lifestyles and daily activities include morning/evening chanting, insight meditation, Cankama (walking meditation), reading Buddhist books, cooking healthy food, and organic gardening. We enjoy the nature and wish to live peacefully for the rest of our lives. This is a “Sappaya” (favorable) place for meditation practicing or just relaxes and enjoys clean air and beautiful nature.  This will be the place for me to stay and practice meditation after I retire from work and enjoy a fruitful and fulfilling life.  I am grateful to be fulfilling my dream and would like to share the facilities to whom have similar interests.

For the meditator
Today you have free accommodation and food from the kindest donation from others.  And to give other people the same opportunity, you are invited to donate by faith.

For reservation, please contact:
Phone: +66.8.646.3590 | +66.9.3124.5945
Email: v.songjarone@gmail.com; c.songjaroen@gmail.com;
           





20 August 2010

INSPIRATION

We convince ourselves that life will be better after we get married, have a baby, then another. Then we are frustrated that the kids aren't old enough and we'll be more content when they are. After that, we're frustrated that we have teenagers to deal with. We will certainly be happy when they are out of that stage.

We tell ourselves that our life will be complete when our spouse gets his or her act together, when we get a nicer car, are able to go on a nice vacation, when we retire.

The truth is, there's no better time to be happy than right now. If not now, when? Your life will always be filled with challenges. It's best to admit this to yourself and decide to be happy anyway, one of my favourite quotes comes from Alfred D Souza. He said, "For a long time it had seemed to me that life was about to begin - real life.

But there was always some obstacle in the way, something to be gotten through first, some unfinished business, time still to be served, a debt to be paid, pain to get through.

Then life would begin. At last it dawned on me that these obstacles were my life". This perspective has helped me to see that there is no way to happiness. Happiness is the way. So, reassure every moment that you have.


Treasure it more because you shared it with someone special, special enough to spend your time with...and remember that time waits for no one... So stop waiting until you finish school, until you go back to school, until you lose ten pounds, until you gain ten pounds, until you have kids, until your kids leave the house, until you start work, until you retire, until you get married, until you get divorced, until the pain is gone, until Friday night, until Sunday morning, until you get a new car or home, until your car or home is paid off, until spring, until summer, until fall, until winter, until you are off welfare, until the first or fifteenth, until your song comes on, until you've had a drink, until you've sobered up, until you die, until you are born again to decide that there is no better time than right now to be happy...


Happiness is a journey, not a destination. 

How do you feel and what do you think about this article?

เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง (คุ๊กกี้)

ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี
จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง
เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ
และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ
เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง
เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้
เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่ม
ซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา
สักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ
ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง
ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้น
เธอมองด้วยความโกรธ
แต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา
ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป
เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า
“ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....
ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย”
ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น
ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย
เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ
หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น
ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น
เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า
“เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุด ๆ
ช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำธ”
เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง
ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม
ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบายแล้ว
เธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อ
เธอตกใจมาก
ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....
คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน
เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม
แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า
มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง
เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท
เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง
มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด
มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น
และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง
ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย
นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ
สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี
แล้วคอยสังสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง?
เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่”????

คุณคิดและรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้?

พุทธพจน์ (Buddhist Teach)












การคบแต่คนดีนำแต่ความสุขมาให้
To be friend only decent people brings happiness.
อิทสมานโคตตชาดก / Itsamarnkoattajataka

ความกตัญญูไม่มีในคนใด การคบกับคนนั้นก็ไร้ประโยชน์
There is no use in friendship with an ungrateful person.
ชวสกุณชาดก / Javasakunajataka

ถ้าจะทำก็ควรทำให้จริง
Whatever you do, do it with all your heart and soul.
ตายนสูตร / Tayanasutra

เป็นคนควรพยายามไปจนกว่าจะสำเร็จ
A human we must strive on until we reach our goal.
วิโรจนอสุรินทสูตร / Virojana-asurindasutra

ผู้ชี้โทษ คือ ผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้
Our critic is our guide to precious treasure.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

จงชนะความชั่วด้วยควมดี
Overcome evil by virtue.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ถ้าคุณทำได้ คุณก็ทำได้
If you can get started, you can accomplish it.
โอวาทพระสุธรรมยานเถร / The Sermons of Phra Sudharmayanathera

ได้สิ่งใดพึงพอใจด้วยสิ่งนั้น
With what ever you receive, may you be content.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ติตนได้ด้วยข้อใดอย่าทำข้อนั้น
Once a mistake has been recognised, it shouldn't happen again.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha


คนเกียจคร้านย่อมไม่พบความสุข
There is no happiness for the idle man.
เตสกุณชาดก / Tesakunjataka


ความอยากย่อมผลักดันให้คนวิ่งวุ่น
Craving and desire make a man desperately forevermore.
ปาเกยยสูตร / Pakeyyasutra


ไม่ควรขอในสิ่งที่รู้ว่าเป็นที่รักของเขา
Do not ask for the object of another person's love.
มณิกัณฐชาดก / Manikanthajataka

ใคร่ครวญดูก่อน แล้วจึงลงมือทำ
Start doing anything only after careful considerate.
มงคลชีวิต ฉบับธรรมทายาท เล่ม 1 / Monkol Jivit Vol.1; Dhammadayada Edition

พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้
Overcome a stingy person with generosity.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของคนหมู่มาก
The person who gives is much loved.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ
Overcome an angry person by restraining your anger.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

สุขใดเสมอด้วยความสงบไม่มี
No happiness surpasses peace of mind.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ความเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก
Indebtedness is just another kind of suffering.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

สอนผู้อื่นอย่างไร พึงทำตนอย่างนั้น
Practise what you preach.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ทำให้ดู ดีกว่าพูดให้ฟัง
Demonstration by deed is better than by words.
โอวาทพระภาวนาวิริยคุณ / The Sermons of Phra Bhavanaviriyakhun


ที่ลับสำหรับทำความชั่วไม่มีในโลก
In the world, there is no place to hide, for the does of evil.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ความโกรธเกิดจากความไม่อดทน
Anger comes as a result of intolerance.
กัณหชาดก / Kanhajataka

คนจะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียร
Through perseverance, comes liberation.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha


คนที่ผัดวันประกันพรุ่งมีแต่ความเสื่อม
Those who procrastinate meet only with failure.
หัตถิปาลชาดก / Hatthipalajataka

ถ้ารู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ ควรรีบลงมือทำสิ่งนั้นทีเดียว
If you know what is beneficial, start doing it at once.
เขมสูตร / Khemasuta


คนจริงพูดอย่างไรทำอย่างนั้น
A true man does what he says.
มหาโควิททสูตร / Mahagoviddasutra

ความอดทน คือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง
Patience is fortitude, which is supreme purfraction.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

ความพร้อมเพรียงเป็นบ่อเกิดของความสุข
Togetherness is the origin of happiness.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha


ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
One should be a refuge to oneself.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha


ชนะตนนั่นแหละเป็นดี
It is a virture indeed to conquer oneself.
พุทธพจน์ / Sayings of the Buddha

คบคนเช่นใด ก็เป็นคนเช่นนั้น
One comes to resemble one's acquaintances.
นัยสัตติคุมพชาดก / Neyyasatti gumbajataka

ทำเรื่อยไปไม่ท้อถอย ผลประสงค์จะสำเร็จสมหมาย
Forever onward, with out despair, success is close at hard.
เตสกุณชาดก / Tesakunjataka

คติธรรมหลวงพ่อชา สุภัทโท (Beware)


- ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้...ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม...
- เราคิดว่าจิตเป็นสุข จิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์...
- อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์ ฉะนั้น...
- เราจึงต้องมาฝึกจิตใจให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์..
- จิตก็สงบ เรื่องแค่นี้เองที่เราต้องมาทำกรรมฐานกันยุ่งยากทุกวันนี้...
- การฝึกจิตไม่เหมือนฝึกสัตว์...จิตนี้เป็นการฝึกยากแท้ๆ...
- แต่อย่าไปท้อถอยง่ายๆ...ถ้ามันคิดไปทั่วทิศก็กั้นใจมันไว้...
- พอใจมันจะขาดมันก็คิดอะไรไม่ออก...
- มันก็จะวิ่งกลับมาเอง...ให้ทำไปเถอะ...

Beware!
Beware of you thoughts as your thoughts will become your conducts
Beware of your conducts as your conducts will become your customs
Beware of your customs as your customs will become you habits
Beware of your habits as your habits will direct the destiny throughout your lifetimes











14 August 2010

การบริหารความเครียด

คำถามที่มักจะถูกถามอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ป่วยเอง ญาติผู้ป่วยหรือแม้แต่คนที่รู้จักกันก็ตามคือ ทำอย่างไรดีถึงจะหายเครียด หรือ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้คิดมาก

บางคนที่ถามอาจเพราะมีเรื่องราวเดือดร้อนใจ หรือกลุ้มใจอยู่ก่อนแล้ว แต่บางคนก็ถามเพื่อเป็นข้อมูลที่เก็บเอาไว้ประดับความรู้ เพราะฉะนั้นคำตอบก็ย่อมแตกต่างกันไป

แน่นอนที่คำตอบนั้นคงจะต้องขึ้นกับเรื่องราวของแต่ละคนว่า เรื่องของความกลุ้มใจนั้นเป็นอย่างไร ทำนองว่าเรื่องของใครก็เป็นเรื่องของคนๆ นั้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็พอมีหลักบางอย่างอยู่บ้าง ที่พอจะช่วยให้เราเตรียมตัวหรือรับมือกับความเครียด หรือเรื่องกลุ้มใจได้ดีขึ้น

ก่อนที่จะพูดถึงแนวทางต่างๆ นั้น คงต้องขอบอกข้อมูลบางอย่าง เพื่อจะได้เป็นที่เข้าใจ ให้ตรงกันเสียก่อนเกี่ยวกับเรื่องความเครียด ก็คือ

อย่างแรก...ความเครียดจะเกิดขึ้นกับคนเราได้อยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ที่รู้สึกกันได้บ่อยก็คือ เรื่องที่ทำให้ทุกข์แต่จริงๆ แล้วเรื่องที่ดูเหมือนจะทำให้มีความสุขนั้นจะทำให้เครียดได้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือแม้แต่การพักผ่อนหยุดงานเป็นระยะเวลานานๆ เป็นต้น

อีกเรื่องหนึ่งคือ หลายคนมักจะพูดเชิงถามว่า ทำอย่างไรดี ถึงจะไม่ให้คิดหรือลืมเรื่องนั้นๆ ไปได้ เพราะคิดถึงทีไรก็ไม่สบายใจทีนั้น ความจริงแล้วคงลำบากที่จะทำแบบนั้น เพราะสมองคนเราไม่เหมือนเทป ที่จะสามารถลบข้อความหรือภาพบางอย่างที่เราไม่ต้องการได้ อย่างไรความทรงจำก็จะต้องมีอยู่ และเราก็ต้องมีชีวิตอยู่กับความทรงจำนั้นให้ได้

ครับ...เราจะต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้ได้ คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ไปแล้วก็ต้องขมขื่นไป เราคงต้องปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของเรา เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ฟุ้งซ่าน

แนวทางต่างๆ ต่อไปนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยประคับประคองให้เราอยู่ได้ท่ามกลางความเครียดความสับสน ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ก็เป็นเรื่องที่หลายๆ ท่านก็คงรู้อยู่ เพียงแต่จะพยายามรวบรวมให้เป็นหมวดหมู่เรื่องเดียวกันให้มากขึ้นเท่านั้น ลองพิจารณาดูนะครับ

1. ตั้งสติกับตัวเองให้ได้ เวลาที่คนเราเกิดความเครียด หลายคนมักจะตั้งตัวไม่ทัน ปล่อยใจไปกับสิ่งเหล่านั้น คิดไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ในสมองจะมีแต่ความวิตกกังวล บางคนเป็นมากจนถึงกับดึงความคิดของตัวเองกลับมาไม่ได้ จมอยู่กับความเครียดนั้น ไม่มีสมาธิที่จะทำอะไร อันนี้คงต้องรีบบอกรีบเตือนตัวเอง ตั้งหลักตั้งใจกันใหม่ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณาพยายามอย่าให้อารมณ์พาใจไปให้มากนักการค่อยๆ คิด ค่อยๆ ตั้งสติกับตัวเองนั้น จะเป็นการค่อยๆ เริ่มเรียนรู้จักปัญหา ที่มาของปัญหา และแนวทางที่เราจะใช้แก้ปัญหาได้ดีขึ้นค่อยๆ พิจารณาดูว่าข้อดี ข้อเสียที่เรากำลังจะตัดสินใจทำลงไปนั้นมีอะไรบ้าง เรารับได้หรือไม่กับผลเสียที่จะตามมา ทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจึงค่อยๆ ทำลงไป อย่าปล่อยให้อารมณ์พาไป

2. อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด หลายครั้งที่ความเครียดเกิดจากความวิตกกังวลว่าอนาคต หรือวันต่อไปจะเป็นอย่างไร คิดว่าเรื่องแย่ๆ หรือไม่ดีคงต้องเกิดขึ้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะต้องเกิดอย่างนี้และอย่างนี้ขึ้นตามมาอีก ยิ่งคิดก็ยุ่งฟุ้งซ่าน สงบสติและอารมณ์ของตนเองไม่ได้ นอนไม่หลับ ต้องรอจนเหตุการณ์มันผ่านไปเสียก่อน จึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้ แต่ก็อีกไม่นานก็จะมีเรื่องใหม่ให้คิด ตามมา เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ดูช่างเป็นชีวิตที่น่าเหนื่อยมาก

แต่ถ้าลองทบทวนเหตุการณ์ที่เคยคิดมากๆ ที่ผ่านไปแล้วก็มักจะพบว่าสิ่งที่เคยคิด สิ่งที่เคยกังวลมักจะไม่ค่อยตรงกับเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ หรือถ้าตรงเราก็สามารถที่จะมีชีวิตยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันนี้ (เพื่อที่จะได้ไม่คิดมากต่อไปอีกในวันข้างหน้า) เพราะฉะนั้นอย่าเปลืองพลังงานสมองให้กับเรื่องเหล่านี้เลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป อนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องปล่อยมันบ้าง รอไว้ให้มันเกิดขึ้นจริงๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ทำวันนี้ ตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน กับตัวเราให้มากที่สุดดีกว่าครับ

3. อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเสียบ้าง มีหลายคนที่หมกมุ่นอยู่แต่กับอดีต กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วคิด คิด คิด ราวกับว่าอยากจะเข้าไปลบอดีต แล้วเปลี่ยนมันเสียใหม่ อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ ไม่อยากจะให้เกิดแบบนั้น คิดไปคิดมาจนไม่มีสมาธิในการทำงาน บางคนใจลอยหลงๆ ลืมๆ อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปหามันได้ ใช้มันให้เป็นบทเรียนที่มีค่าจะดีกว่า หรือถ้าให้ดีก็เสียเวลาอีกหน่อย เพื่อมาคิดว่าเพราะอะไรในตอนนั้น เราถึงตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป ทำไปเพื่ออะไร แล้วผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มกันหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มก็คงต้องเตือนตัวเองไว้ว่าครั้งต่อไปจะตัดสินใจอย่างไร เข้าทำนองที่ว่าเจ็บแล้วก็ต้องจำเสียบ้าง

4. ยืดหยุ่นกับชีวิตตนเองให้มากขึ้น คนเราจะมีความคาดหวังได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนให้ความสำคัญกับความคาดหวังนั้นมากเป็นพิเศษ ชีวิตของฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นครอบครัวของฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเป็นอย่างนี้ อะไรทำนองนี้เป็นต้น ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ทำให้เรากระตือรือร้น มีกำลังที่จะทำสิ่งต่างๆ ได้ แต่การยึดติดอยู่กับความคาดหวังมากเกินไป จะเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพจิตเราได้ง่ายๆ ชีวิตทุกคนก็มีสมหวัง ผิดหวังกันได้ สลับกันไป มิได้อย่างหนึ่งก็มักจะต้องเสียอย่างหนึ่ง จะให้ได้ทั้งหมดโดยไม่มีเสียเลยคงจะลำบาก เผื่อใจไว้บ้างกับความผิดหวัง ลองคิดดูให้ดีสิครับ ความผิดหวังคงไม่ทำให้ถึงกับชีวิตจะดำเนินต่อไปไม่ได้หรอก เพียงแต่อาจจะรู้สึกแย่ หรือเสียความรู้สึกบ้างเท่านั้นเอง

5. ลดคำถามที่ขึ้นต้นว่า "ทำไม" กับตัวเองให้น้อยลงบ้าง ทำไมเขาถึงทำกับเราแบบนี้ ทั้งๆ ที่เราก็ทำดีให้กับเขาทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงต้องเป็นเรา ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อะไรทำนองนี้เพราะส่วนใหญ่ยิ่งถามก็จะยิ่งไม่มีคำตอบ แล้วก็จะวกวนอยู่กับคำถามเหล่านี้ เหนื่อยเปล่าๆ ครับ คล้ายๆ กับว่าเรากำลังถามว่าทำไมพระอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศตะวันออก แล้วตกทางทิศตะวันตก มันเป็นคำถาม ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไร ทางที่ดีอาจจะลองหยุดคำถามเหล่านี้ แล้วลองถามกับตัวเองว่าแล้วทำไมสิ่งต่างๆ จะต้องเป็นแบบที่เราต้องการด้วย อาจจะดีกว่า อาจทำให้เข้าใจความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น

6. มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น บางคนค่อนข้างกลัวในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวว่าทำไปแล้วจะไม่ดี จะไม่เป็นที่ถูกใจของคนอื่น หรือถ้าไม่ทำแล้วคนอื่นจะไม่สบายใจ แต่ถ้าทำไปก็จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง บางคนกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ถ้าเราทำแบบนี้จนในที่สุดไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่อยากจะทำ แล้วต้องมานั่งอยู่กับความเครียดของตัวเอง

มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นเถอะครับ... ลดความรู้สึกอ่อนไหวต่อคนรอบข้างลง แล้วทำในสิ่งที่อยากจะทำลงไปบ้าง ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ก่อความเสียหายให้กับตัวเองหรือสังคมรอบข้างจริงๆ แล้วถ้าคิดกันให้ดีๆ ว่า ที่เรานั้นคอยกลัวอยู่เรื่อยว่าคนโน้นจะว่า อย่างนี้ คนนั้นจะว่าอย่างไรนั้น มันก็คือความกลัวต่อความคิดของเราเองทั้งสิ้น คิดเองแล้วก็กลัวเอง อยู่คนเดียว เอาชนะใจตัวเองให้ได้ครับ แล้วหลายๆ อย่างจะดีขึ้นตามมา

7. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ จิตใจที่แจ่มใส พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ นั้น มักจะอยู่คู่กับร่างกายที่สมบูรณ์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานให้แก่กันและกัน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เต็มที่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ที่จะมีผลเสียหรือเป็นโทษต่อร่างกายเหล่านี้จะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์เป็นหลักที่มั่นคงสำหรับจิตใจ เพื่อที่จะเผชิญกับความเครียดในวันต่อไปข้างหน้าได้ครับ

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกๆ ท่าน ความจริงแล้วยังมีอีกหลายแนวทาง ที่จะทำให้สุขภาพจิตนั้นดีขึ้น บางอย่างก็จะเหมาะกับคนบางคน บางคนก็รู้ดีอยู่ว่าอะไร คืออะไร แต่หักห้ามใจไม่ให้คิดไม่ได้ครับ ของอย่างนี้คงต้องใช้เวลากันบ้าง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเอง ขอให้ลองพยายามกันต่อไปครับเพื่อความสุขในชีวิตของเรา

ขอขอบคุณ : ผศ.จักรกฤษณ์ สุขยิ่ง เอื้อเฟื้อบทความ

นาฬิกาชีวิต

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต

อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต”

1.00-3.00น เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (melatonin) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนักตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ

3.00-5.00น เป็นช่วงเวลาของปอด ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี และเป็นคนมีอำนาจในตัว???

5.00-7.00น ลำไส้ใหญ่ ควรถ่ายให้เป็นนิสัย ถ้าไม่ถ่ายให้กดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังก็ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง คนที่ถ่ายยากต้องกินข้าวเช้า บางคนไม่กินข้าวแต่กินกาแฟ ร่างการจะดูดกากอาหารตกค้างซึ่งกำลังจะเป็นอุจจาระเข้าไปใหม่ เท่ากับกินกาแฟแกล้มอุจจาระ คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด

7.00-9.00น กระเพาะอาหาร กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็น ถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่

9.00-11.00น ม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย หน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดหัวบ่อยมักมาจากม้าม อาการเจ็บชายโครงมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต จะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
-ม้ามชื้น อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย
คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 ม้ามจะอ่อนแอ ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปาก คนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะแข็งแรง

11.00-13.00น หัวใจ หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก หาทางระงับอารมณ์ไว้

13.00-15.00น ลำไส้เล็ก **ควรงดกินอาหารทุกประเภท** เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง

15.00-17.00น กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วสงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก จะออกกำลังการหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อย จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ทำให้เหงื่อเหม็น

17.00-19.00น ไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก
-ไตซ้าย คุมสมองด้านขวาคือความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้ามีปัญหา อารมณ์นี้จะหมดไปเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว แต่ไม่ปล่อยวาง และขี้ร้อน
-ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้ามีปัญหาความจำจะเสื่อมและเป็นคนขี้หนาว ผู้ใดที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนอายุยืน เป็นคนกล้าถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต จะทำงานหนักเป็นโรคไต สมองเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลด การดูแลคือ เช้าอาบน้ำเย็น เย็นอาบน้ำอุ่น

19.00-21.00น เยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงนี้ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ

21.00-23.00น เวลาของระบบความร้อนของร่างกาย ต้องทำร่างายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ

23.00-1.00น ถุงน้ำดี เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00น

เพิ่มเติม
ช่วงลำไส้เล็กซึ่งสำคัญมาก ทุกวันนี้ใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมของน้ำมันปาล์ม แม้จะบอกว่าเป็นถั่วเหลือง หรือเมล็ดทานตะวันก็ตาม ถ้าเป็นน้ำมันธรรมชาติล้วนๆ เช่น น้ำมันมะกอกก็จะไม่เป็นปัญหาต่อลำไส้เล็ก เมื่อน้ำมันปาล์มโดนความร้อนจะทำให้เหนียวหนืด เวลาโฆษณาบอกว่าไม่เป็นไข แต่พอเข้าร่างกายแล้วจะไปเกาะที่ลำไส้ เวลาดื่มน้ำ น้ำก็ไม่สามารถทะลุผ่านลำไส้ ทำให้ต้องฉี่บ่อยๆ บางคนดื่มไม่ถึงสิบนาทีก็ต้องลุกไปฉี่ ไตก็จะทำงานทำงานหนัก ไตควบคุมกระดูกและสมอง กระดูกก็เสื่อม เลือดไปเลี้ยงสมองก็น้อย สมองเสื่อมอีก เมื่อน้ำก็ไม่เข้าร่างกาย แต่สิ่งที่ผ่านไปได้คือวิตามิน A D E แต่ C กับโปรตีน กรดอะมิโน ผ่านไม่ได้จึงส่งผ่านไปให้ไต ไตก็ทำงานหนักขับโปรตีนออกมา

เมื่อเป็นปัญหาที่ไต น้ำผ่านไม่ได้ ถุงน้ำดีก็ข้น ทำให้ตื่นนอนหรือนอนไม่หลับช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ไปหลับอีกทีช่วงเช้ามืดซึ่งควรตื่นนอนแล้ว จึงเกิดไมเกรน หมอปัจจุบันต้องรอให้ปวดหัวก่อนถึงรู้ว่าเป็นไมเกรน แต่แผนโบราณบอกได้ตั้งแต่เริ่มมีอาการคอแห้ง ร้อนใน ปวดตามซี่โครง ปวดขาด้านข้าง เสียวฟัน ปลายประสาทฟันเหงือกอักเสบตลอดเวลา ถ้าหาหมอฟัน ก็จะถอนให้ พอปวดกระบอกตา ปวดหูก็บอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน แต่ต้นเหตุจริงๆ มาจากถุงน้ำดีข้น เลือดก็เลี้ยงสมองส่วนหน้าไม่พอ ตาก็เป็นต้อง่าย จมูกเป็นไซนัสง่าย ภูมิแพ้ง่าย เป็นผลพวงมาจากลำไส้เล็กไม่สะอาดทั้งสิ้น

วิธีแก้
ตามธรรมชาติ ก็ใช้โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว กินเข้าไปจะล้างลำไส้ได้ ช่วงย่อยขยะในลำไส้ สูตรนี้กินตอนเช้าลดความอ้วนกินตอนเย็นเพิ่มความอ้วน

ถ้ามีผลต่อเนื่องจากลำไส้เล็ก เช่นโรคไต การที่ผมเปลี่ยนสีเพราะไตเริ่มเสื่อม อาการซ้ายขวาไม่เหมือนกัน อ่านได้ข้างบน เห็ดหูหนูดำเป็นตัวดูแลไตที่ดี เห็ดหูหนูขาวบำรุงปอด ถ้าเอาเห็ดสาม (รวมเห็ดหอมมั้ง) อย่างมาปรุงอาหารรวมกัน จะสามารถล้างพิษในตับได้ รักษามะเร็ง รักษาตับ ซิสต์ เนื้องอก จะเอามาทำอะไรก็ได้ แกงเลียง ต้มยำของหวาน ได้ทั้งนั้น

ใครขี้เกียจอ่านยาวๆ มาอ่านตรงนี้ ก็พอ

สรุป
1.00-3.00 นอนซะ (ตับ)
3.00-5.00 ตื่นมาสูดอากาศ (ปอด)
5.00-7.00 ขับถ่าย (ลำไส้ใหญ่)
7.00-9.00 กินข้าวเช้า (กระเพาะ)
9.00-11.00 อย่าพูดมาก กินน้อยๆ อย่านอน (ม้าม)
11.00-13.00 หลีกเลี่ยงความเครียด (หัวใจ)
13.00-15.00 ห้ามกิน (ลำไส้เล็ก)
15.00-17.00 ออกกำลังหรืออบตัวให้เหงื่อออก (กระเพาะปัสสาวะ)
17.00-19.00 ทำให้สดชื่น อย่าง่วง (ไต)
19.00-21.00 ทำสมาธิ (เยื่อหุ้มหัวใจ)
21.00-23.00 ทำตัวให้อุ่นๆ ไว้ (ระบบความร้อนของร่างกาย)
23.00-1.00 กินน้ำก่อนนอน (ถุงน้ำดี)

Body Biological Clock


Your body has a built-in clock! Every organ in your body has a repair/maintenance schedule to keep on a daily basis.
If you feel unusual at these times of day (headaches, inactive), you will know which organ is trying to repair the damage done to it, and these ‘feelings’ you are having are the result of the energy being expended to do these repairs.


Health Repair Table:
Lungs: 3am-5am Large intestine: (or colon) 5am-7am Stomach: 7am-9am Spleen: 9am-11am Heart: 11am-1pm Small Intestines: 1pm-3pm Bladder: 3pm-5pm Kidneys: 5pm-7pm Pancreas: 7pm-9pm Blood Vessels and Arteries: 9pm-11pm Gallbladder: 11pm -1am Liver: 1am-3am

Lungs: The lungs are the first organs of the day that are up for repair and maintenance. Lungs begin loosening the poisoning waste between 3 to 5 a.m., and when you awaken, this is why you cough sometimes. Your lungs are trying to expel the loosened waste. If you are coughing in the morning, this indicates that your diet and lifestyle needs tweaking.
Large Intestine or Colon: 5 to 7 a. m. is the time for this organ. A healthy colon needs water to do its job properly, which is flushing waste matter 24/7. The morning is the most important time to drink plenty of water for this process, and the worst time to have caffeine. Caffeine is a diuretic and takes water away from your colon to your kidneys and bladder for evacuation. Your body needs water in the morning to do its repair and maintenance of the large intestine and colon. This helps you maintain digestion, normalize weight, slow down the ageing process. When you irrigate your system every morning with pure water (up to 32 oz.) your health improves. If you wait until you have a bowel movement before you eat in the morning, this is also healthier for your colon.

Stomach: Between 7 and 9 a.m., the stomach is repairing and does not need a big meal to deal with. While the large intestine and colon needs fluid to repair properly in the morning, the stomach needs very little. Start with fluids (pure water or fresh juiced vegetables) or fresh fruit that is easily digested. However, if you can, drink only fluids in the morning for optimal health.

Spleen: From 9 to 11 a.m. the spleen gets cleaned. During this time/process or when the spleen is in a weakened state, you may suffer with allergies or not be able to shake a cold or flu. This is because the spleen works with the liver and your immune system. A healthy spleen produces antibodies when there is an infection and constantly watches the blood for invaders.

Heart: The time for heart repairs is between 11 a.m. to 1 p.m. Your body is removing waste from the heart and you may sometimes notice a rapid heartbeat, double beats and/or skipping beats. Seventy percent of heart attacks occur when the heart is in its repair period.

Small Intestines: Have you noticed that between 1 to 3 p.m. you are more apt to have indigestion, pain and bloating? If this happens, two things could be wrong: 1. Your diet is not what it should be and your food is not digesting; 2. Your diet is causing problems that are now causing you stress. A proper diet will help take care of these problems.

Kidneys and Bladder: From 3 to 7 p.m. you may notice you’re tired and want a nap. When the kidneys are healthy and working properly, you’ll feel energetic at that time, not tired.

Pancreas: Between 7 to 9 p.m. do you have intense cravings for sweets or processed carbohydrates that turn to sugar immediately in the system? The kidneys regulate the pancreas, and if you do consume sweets during that period, you may notice low back pain, which is a kidney symptom. The kidneys, bladder and pancreas are all parts of the same whole. If you need a nap early in the evening it is just your pancreas, as directed by your kidneys, putting you out so it can do its repairs.

Blood Vessels and Arteries: From 9 to 11 p.m. the blood vessels go into repair mode. The impact on the body is: headaches, weakness while vessels are in heavy repair.

Liver and Gallbladder: Between 11 p.m. to 3 a. m. these two guys go into action. Do you ever have nights when you can’t sleep at this time? This means that waste is not being processed by your liver and it acts as an irritant to your body causing insomnia and frayed nerves. Your brain just won’t stop.


Health Monitoring - know your body
The more you know about your body, the easier it is to maintain your health so start paying attention to your body’s health clock and repair schedule to see if you can figure out what’s going on inside you.

08 August 2010

About Baan Bhavana

This story is how events in my life led me to create the Baan Bhavana facility and its importance in many lives.

During 1997 the Asian financial crisis (Tom Yam Kung) started in Thailand was caused by monetary indiscipline.  It was at this time I thought that I needed to develop and educate myself for a better qualification so that I could survive in this more complicated world. In 1999 I undertook a two-year course, an Executive MBA.      I hoped that I could gain the business knowledge and improve my working ability and life skills. I graduated with an MBA in 2001 and secured a respected job in an international firm, but I was not happy as I expected.

During 2001 my wife insisted I attend a 7-day Vipassana (Insight Meditation) course. The course changed me; I quit smoking and drinking and I learnt the nature of the truth and saw things in a new light. Since then I have been practicing insight meditation and try to use the Buddhist theory of mindfulness whenever I can.  I realized that the MBA helped me secure employment to make a living, but it did not teach me the art of living in the spiritual world.  I am now continuing to practice insight meditation and seeing the happenings of the world as phenomena of nature.

In 2007, my wife had an operation and she suffered considerably from the medical treatments. She is a Catholic, but has been learning and practicing Vipassana (Insight Meditation) daily. Because of this she has handled the pain well and dealt with the suffering in a very calm manner. During my wife’s hospitalization I learnt that the illness is caused by the modern ways of living and our lifestyles. I also learnt that city lifestyle is not good for our health.  It was a fortunate that my brother in law shared part of his beautiful piece of land and I was able to build a vacation home at Khao Yai, where the world heritage Khao Yai National Park is located. According to the NASA ozone map, this area is ranked no. 7 in the world for the high content of oxygen.

In 2008, the sub-Prime crisis caused an economic downturn in the US. After the Yellow Shirt protests at the Suvarnabhumi Airport in December 2008, I was asked to leave the company. This did not upset me as I knew that I would leave the company sooner or later. I was lucky that I’d learnt and understood the nature of truth; I accepted this change with calmness.  I thought it was positive that I was out of a job because I had the time to build a family vacation home at Khao Yai.   Therefore, I sold my house in Bangkok and build a vacation home in Khao Yai in mid 2009.

Bhavana is a Pali and Sanskrit word which literally means development, becoming cultivated and productive within the concept of Buddhist practice.  The word Bhavana normally appears in conjunction with another word forming a compound phrase such as Citta-Bhavana (the development or cultivation of the heart/mind). At Baan Bhavana we like to develop and practice mindfulness and insight meditation. The retreat was built to accommodate our lifestyles and daily activities include morning/evening chanting, insight meditation, Cankama (walking meditation), reading Buddhist books, cooking healthy food, and organic gardening. We enjoy the nature and wish to live peacefully for the rest of our lives. This is a “Sappaya” (favorable) place for meditation practicing or just relaxes and enjoys clean air and beautiful nature.  This will be the place for me to stay and practice meditation after I retire from work and enjoy a fruitful and fulfilling life.  I am grateful to be fulfilling my dream and would like to share the facilities to whom have similar interests.

For the meditator
Today you have free accommodation and food from the kindest donation from others.  And to give other people the same opportunity, you are invited to donate by faith.

For reservation, please contact:
Phone: +66.8.646.3590 | +66.9.3124.5945